Friday, December 20, 2013

Madrid Travel's Route (ตอนที่ 2): เที่ยวมาดริดวันเดียวไม่เคยพอ! + มาถึงถิ่นต้องกินอะไรบ้าง?


กลับมาเที่ยวมาดริดกันต่อในตอนที่ 2 นะคะ สำหรับตอนที่ 2 นี้ ติ๊ดตี่จะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในมาดริดกันต่อ มีหลายคนบอกว่า มาดริดไม่ค่อยมีไรเท่าไหร่ เที่ยววันเดียวก็หมด แต่สำหรับตัวเอง ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาสองปี (และกำลังจะอยู่ต่ออีกสามปี!) รู้สึกว่าที่นี่เค้าก็มี "ของ" ของเค้าเหมือนกัน มีซอกมุมสวยๆ มีมนตร์เสน่ห์น่าค้นหา แม้ที่นี่จะไม่ได้มีไฮไลท์ระดับโลกอย่างที่ปารีสมีหอไอเฟล หรือโรมมีโคลอสเซียม แต่เมืองนี้ก็มีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเองค่ะ

หลังจากในตอนแรกเราได้ไปเดินเองเที่ยวเองในมาดริดหนึ่งวันเต็มๆไปแล้ว ตอนนี้เลยจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ แต่จะไม่ได้เป็น walking tour เหมือนในตอนแรกนะคะ คือ จะยกมาเป็นที่ๆ แล้วแต่ว่าใครสนใจจะไปที่ไหน ก็เลือกไปตามสถานที่นั้นได้เลย รวมถึงของกินจุบจิบกรุบกริบที่ต้องไม่พลาดมาลองชิม (แต่ชิมมากระวังเป็นโรคไต เพราะเค็มเหลือหลาย รสชาติแบบออริจินัลของที่นี่ถ้าไม่เค็มไม่ใช่อาหารสเปนแล้วค่ะ!)



จากแผนผังสถานที่ท่องเที่ยวที่เอามาจากโบรชัวร์การท่องเที่ยวของมาดริด จะเห็นได้ว่า สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำไปในตอนแรก (X กากบาทสีแดงไว้) อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก (แต่ถ้าเดินรวดเดียวก็ทำเอาขาลากได้เหมือนกันนะ) ทีนี้เรามาดูสถานที่ที่เหลือกันเลย (X กากบาทสีน้ำเงินไว้ แต่บางที่ก็อยู่นอกแผนที่นะคะ) 

1. Estadio Santiago Bernabeu (Real Madrid)



ใครเป็นแฟนบอล La Liga สเปนและเป็นสาวกทีม Real Madrid ถ้าไม่ได้มาที่นี่ถือว่าพลาดอย่างแรงเพราะเห็นแต่ละคนออกอาการเป็นปลื้มเอามากๆเมื่อได้มาเหยียบสนามบอลระดับตำนานแห่งนี้ ขอออกตัวก่อนว่า ส่วนตัวไม่เคยเข้าไปข้างในนะคะ ไม่เคยเข้าไปชมซักแมทช์ ได้แต่เกาะจอทีวีไม่พลาดเวลามีแข่ง El Clásico เท่านั้น เพราะสนนราคาบัตรเข้าชมมันแพงเหลือเกิน แต่ใครเป็นสาวกคงยอมจ่าย ติ๊ดตี่เคยไปแต่ร้านค้าด้านนอกสเตเดียม ซึ่งขาย Official Product ทุกอย่างของ Real Madrid มีเสื้อบอลแทบทุกฤดูกาลของทีมนี้ รวมถึงของทีมชาติสเปนด้วย เพราะ Adidas เค้าเหมาเรียบ ขอบอกว่า เสื้อทีมชาติสเปนของจริง Made in Thailand ล่ะ (ควรจะดีใจมั้ยเนี่ย อุตส่าห์บินมาซื้อตั้งไกล!) การเดินทางมาที่นี่ก็สะดวกสะบายมาก เพราะรถไฟใต้ดินมาจอดจ่อหน้าสเตเดียมเลย ใครจะมาที่นี่ให้ลงที่สถานี Santiago Bernabeu ได้เลยค่ะ



อนุสาวรีย์โคลัมบัส หรือ Monumento a Colón นักเดินเรือชาวอิตาลี 
(แต่ได้กษัตริย์สเปนเป็นสปอนเซอร์)ที่เดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปค้นพบทวีปอเมริกา

2. ตลาดนัด El Rastro (เอล ราสโตร)



สำหรับคุณผู้หญิงที่ไม่พิศมัยการไปชมสนามบอลเท่าไหร่ เรามีทางเลือกให้คุณค่ะ (เย่!) ระหว่างคุณผู้ชายไปทัวร์สนามบอล คุณผู้หญิงสามารถใช้เวลาช่วงสายๆของวันอาทิตย์ไปกับการเดินชมของใช้ไม่สอย เสื้อผ้า ผ้าพันคอ กระเป๋า รองเท้า ชอปปิ้งเบาๆได้ที่ตลาดนัด El Rastro ซึ่งเป็นตลาดนัดที่มีชื่อเสียงของมาดริด มีเฉพาะช่วงสายๆไปถึงบ่ายๆวันอาทิตย์เท่านั้น ที่นี่มีของหลายอย่างให้เลือกซื้อมากๆ เรียกได้ว่ามีของสากกระเบือยันเรือรบ แต่ว่าต้องเลือกๆกันหน่อยนะคะ เพราะนอกจากสินค้าพื้นเมืองของสเปนราคาย่อมเยาว์แล้ว เดี๋ยวนี้เริ่มมีของจีน ของแขกมาปะปนเยอะมากๆ ต้องดูดีๆ เข้าข่ายตาดีได้ตาร้ายเสีย สำหรับคนชอบของเก่า ของตกแต่งบ้าน ภาพวาด เครื่องใช้เก่าๆ ที่นี่ก็มีขาย รวมไปถึงกระทะทำ Paella พัดสเปน ของฝากของที่ระลึกก็มี ถ้าเลือกดีๆจะได้ทั้งของถูกและดีติดไม้ติดมือกลับบ้านไปแน่ๆ การเดินทางมาที่นี่ไม่ยาก สามารถเดินมาจาก Plaza Mayor แล้วทะลุมาตามซอกซอยได้ หรือนั่งรถไฟใต้ดินลงที่สถานที La Latina หรือ Puerta de Toledo ก็ได้ค่ะ

3. Mercado San Antón (เมร์กาโด้ ซาน อันตอน)



ถ้าไม่ชอบทั้งดูสนามฟุตบอลและเดินตลาดนัด ก็มาเดินตลาดหาของกินกันดีกว่าค่ะ นอกจากตลาด San Miguel ที่ติ๊ดตี่แนะนำไปในเที่ยวมาดริดตอนที่ 1 แล้ว มาดริดยังมีตลาดชิคๆอีกที่นึง ที่หลบอยู่ในซอกซอยแถวๆ Chueca (ย่านท่องราตรีของชาวสีม่วงอันโด่งดัง) ตลาดนี้มีชื่อว่า Mercado San Antón ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Gran Vía ถนนท่องเที่ยวสายหลักเท่าไหร่ เดินเลี้ยวเข้าซอยมา ซอกแซกนิดหน่อยก็ถึงแล้ว ตลาดนี้เพิ่งเปิดมาได้ไม่นาน เป็นตลาดที่ส่วนตัวคิดว่ามันเก๋เว่อร์ ให้อารมณ์ Gourmet Market ไฮโซเบาๆ ของที่นี่ก็คัดสรรมาแล้ว เพราะฉะนั้น ราคาจะมีตั้งแต่กลางๆ ถึงแพง ที่นี่จะไม่ tourist จ๋าคลาคล่ำมากเท่ากับตลาด San Miguel เพราะนักท่องเที่ยวจะรู้จักน้อยกว่า ฉะนั้นเราจะได้เจอกับคนมาดริดชิคๆจริงๆ ตัวตลาดก็ใกล้ย่าน Chueca ซึ่งตอนกลางคืนจะเป็นแหล่งผับบาร์ที่มีชื่อเสียง จะสีม่วงหรือสีไหนก็มาเที่ยวได้ ส่วนตอนกลางวันจะมีร้านรวงเสื้อผ้ารองเท้ากระเป๋าชิคๆ ซึ่งเป็นแบรนด์ท้องถิ่นของสเปนหลายร้าน รวมถึงร้าน tapas บาร์เล็กๆ ร้านขนม ร้านเครปอร่อย แต่จะหาทางมายากซักหน่อย เพราะมันอยู่ในซอกซอยเล็กๆ เดินไม่ดีอาจจะหลงได้ ณ จุดนี้ ควรมีไกด์นำทางส่วนตัวหรือถือแผนที่ให้มั่นๆ ถ้าอยากจะสัมผัสบรรยากาศเที่ยวกินชิลๆแบบ madrileños (ชาวมาดริด) ก็ลองมาเดินเที่ยวที่นี่กันได้ค่ะ



แผงขาย Jamón และผลิตภัณฑ์ประเภทแฮมต่างๆ 




อาหารทะเลเค้าก็มี แต่ราคานี้อาจจะทำกระเป๋าแฟ่บได้ 

4. จุดชมวิวและชมพระอาทิตย์ตกดินในสวนTemplo de Debod (เต็มโปล เด เดบอด)



สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวมาดริดและเป็นที่ตั้งของ Templo de Debod แปลตรงตัวคือ วัดเดบอด ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,200 ปี ตัวโครงสร้างยกมาจากอียิปต์ทั้งดุ้น โดยเป็นของขวัญที่ประเทศอียิปต์มอบให้ประเทศสเปนในปี 1968 ในวาระที่สเปนไปช่วยเหลืออียิปต์ ตัวสวนสาธารณะตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ทำให้กลายเป็นจุด ชมวิวที่สวยงามอีกจุดหนึ่งของเมือง จากจุดนี้สามารถมองเห็นด้านข้างของพระราชวังหลวงของมาดริด และ Casa de Campo ซึ่งเป็นบริเวณป่าทุ่งของมาดริดได้ เหมาะกับการมาเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจตอนเย็นๆ มาชมพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ 

5. พิพิธภัณฑ์ศิลปะ: Museo Nacional del Prado (พิพิธภัณฑ์ปราโด้), Museo Nacional Centro de Arte Reina Sofía (พิพิธภัณฑ์เรย์น่า โซเฟีย), Museo Thyssen-Bornemisza (พิพิธภัณฑ์ทิสเซ่น)



ถ้ามีเวลาอยู่มาดริดหลายวันและเป็นคนที่ชื่นชอบงานศิลปะเอามากๆ ไม่ควรพลาดไปดูผลงานภาพวาดของจิตรกรและศิลปินระดับโลกที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะในมาดริด ไม่ว่าจะเป็นที่ Museo Nacional del Prado (อันนี้เป็นไฮไลท์อันดับหนึ่ง จะเป็นศิลปะแนวคลาสสิด ศิลปินเช่น Velázquez, Goya, Greco), Museo Nacional Centro de Arte Reina Sofía (ถ้าใครชอบศิลปะแนวโมเดิร์น,เอ็กซ์เพรสชั่นนิสม์ แนว Picasso, Dalí), Museo Thyssen-Bornemisza (อันนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์ของเอกชนที่รวบรวมผลงานศิลปะของศิลปินชื่อดังอื่นๆ ที่ไม่ได้รวมเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติสองแห่งแรก) แนะนำว่า ถ้าจะไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะเหล่านี้ ให้ไปกับคนที่รู้เรื่องศิลปะหรือประวัติศาสตร์ศิลปะจะดีมาก เพราะว่า จะทำให้รู้ที่มาที่ไปของภาพวาดแต่ละภาพ เพราะบางภาพก็วาดขึ้นเพื่อบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และสะท้อนสะภาพสังคมในสมัยนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องชอบศิลปะอยู่บ้าง ไม่ง้านมีสิทธิ์เบื่อและหลับได้ (ฮา) เพราะมันเยอะเหลือเกิน แถมเนื้อที่ในการจัดแสดงกว้างขวางมาก 



Guernica (เกร์นิกา) ภาพวาดที่สะท้อนภาพของสงครามกลางเมืองสเปนฝีมือของ Picasso
จัดแสดงอยู่ที่ Museo Nacional Centro de Arte Reina Sofia

ก็คงจะพอเห็นภาพแล้วนะคะว่ามาดริดยังมีอะไรให้เที่ยวอีกบ้าง แต่นอกจากสถานที่เที่ยวแล้ว สิ่งที่เป็นไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งของการมามาดริด ก็คือ อาหารการกินและ night life ที่สนุกสนานและมีชีวิตชีวาของที่นี่ แต่ส่วนตัวขอไม่ลงลึกไปในทางนั้นนะคะ เนื่องจากไม่ได้ช่ำชองในการท่องราตรีซักเท่าไหร่ ติ๊ดตี่เลยจะมาแนะนำเฉพาะสิงที่ถนัดและชอบมากๆ นั่นก็คือ การกินนั่นเอง! (ฮา) ร้านอาหารระดับดีหน่อย แพงหน่อย แต่อร่อยแน่ที่เคยไปกินคือร้าน Casa Valencia ร้านนี้มีบรรยากาศแบบภัตตาคารหน่อยๆ ออกจะค่อนข้างเป็นทางการ ที่นี่ Paella หรือข้าวผัดสเปนอร่อยที่สุดเท่าที่เคยไปกินๆมา ส่วนร้านบ้านๆที่ชอบมาก คือ Casa Toni ร้านนี้เสิร์ฟอาหารสเปนบ้านๆ ออกแนว homemade style แต่รสชาติดีทีเดียว แต่รสจะออกเค็มนิดๆ ตามสไตล์อาหารสเปนแท้ๆ แต่ร้านนี้ไม่ขาย Paella ถ้าใครอยากจะลองกิน Paella ด้วยจะมีอีกร้านนึงเยื้องๆตรงข้ามกัน ชื่อร้าน Fatigas del Querer ร้านนี้มีอาหารเกือบทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวควรมากิน แต่จะออก tourist จ๋านิดนึง บรรยากาศจะไม่บ้านๆเท่า Casa Toni ใครมาเที่่ยวมาดริด ปกติติ๊ดตี่ก็จะพาไปร้าน Casa Toni ก่อน ทำให้ร้านนี้คุ้นเคยกับคนไทยดีมาก เพราะว่าจะได้รับการแนะนำแบบปากต่อปาก พูดแล้วคงยังไม่เห็นภาพ เดี๋ยวไปดูอาหารแต่ละจานกันเลยค่ะ



Paella หรือข้าวผัดสเปนที่หลายๆคนหมายมั่นปั้นมือจะ มากินให้ได้นั้น ต้องขอเตือนว่า ไม่ใช่ทุกร้านจะทำอร่อยเพราะฉะนั้น ควรเลือกหาร้านที่เค้าทำสดๆใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ Paella แช่แข็งแล้วเอามาอุ่นให้คุณกิน โดยเฉพาะร้านที่มีแผ่นป้ายใหญ่เขียนว่า El Paellador แล้วมีภาพ Paella ในกระทะเล็กๆโชว์ ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงด้วยความปรารถนาดีอย่างยิ่ง! หรือ Paella ของร้าน Café y Té ก็ไม่ค่อยอร่อยนัก เพราะเป็น Paella แบบแช่แข็งแล้วเอามาอุ่น เพราะเป็นแฟรนไชส์ ร้านนี้จะมีอยู่เกือบทุกหัวมุมถนน แถวๆ Puerta del Sol จะเห็นร้านนี้หลายร้านเลย Paella มีหลายชื่อ ขึ้นอยู่กับว่าใส่อะไรลงไป จะมีชื่อเรียกต่างกัน เช่น Paella de Marisco คือใส่ซีฟู๊ด Paella Mixta คือแบบรวมมิตร มีทั้งซีฟู๊ด เนื้อไก่ บางทีมีเนื้อกระต่ายด้วย สนนราคาแบบถูกสุดที่เคยเจอคืออยู่รวมในเมนูประจำวันหรือ Menu de Día ราคา 10 ยูกว่าๆ มีจนไปถึงกระทะแบบเสิร์ฟได้สองที่ ราคาอยู่ที่ 20 ยูขึ้นไป หรือถ้าร้านระดับไฮโซ ราคาอาจจะสูงถึง 30-40 ยูโร แต่ก็ประโคมใส่กุ้ง หอย ปู ปลาไม่ยั้ง ถึงเนื้อถึงรสชาติ 



Jamón (ฆามอง) หรือแฮมดิบสไตล์สเปน อย่างที่เคยเล่าไปในตอนแรกว่า มันคือ ขาหมูดิบหมักเกลือทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วแล่บางๆมากินเปล่าๆ สดๆอย่างงั้นเลย กินแกล้มกับเมลอนจะอร่อยมาก


Chorizo (โชริโซ่) ก็เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทแฮมดิบอีกอย่างหนึ่ง ของสเปน มันจะคล้ายซาลามี่แบบที่คนไทยรู้จัก แต่ว่าเค้าจะสไลซ์หนากว่า แล้วรสชาติมันจะเข้มข้นกว่า เค็มกว่า จานนี้กินเปล่าๆเหมือนกัน จะกินคู่กับขนมปังก็ได้ จิบเบียร์แกล้มไปด้วยก็ได้


Patatas dos salsas: Bravas & Ali-Oli (ปาตาตาส โดส ซัลซาส: บราบาส & อาลิโอลี่) จานนี้คือ มันฝรั่งหั่นเหลี่ยมๆทอดกรอบราดด้วยซอส Bravas และ Ali-Oli ซอสบราบาสสีออกส้มๆ รสชาติจะออกคล้ายๆซอสพริก แต่ไม่เผ็ดเท่า ส่วนซอสอาลีโอลีสีขาวๆ เป็นซอสกระเทียมผสมมายองเนส เหมือนกินเฟรนช์ฟราย์จิ้มซอสนั่นแหละค่า แต่มันให้รสสัมผัสที่แตกต่างออกไปจากเฟรนช์ฟรายส์แบบที่เราเคยๆคุ้นกัน เพราะตัวมันฝรั่งจะชิ้นใหญ่กว่า กรอบนอกนุ่มใน ซอสก็อร่อยมากทีเดียว จานนี้เป็นจานท้องถิ่นมากๆ ทุกร้านจะต้องมีเมนูนี้


Espárragos a la plancha (เอสปาร์ราโกส อา ลา ปลันช่า) หน่อไม้ฝรั่งย่างโรยเกลือ จานนี้มันเด็ดตรงความสดกรอบของหน่อไม้ ย่างด้วยน้ำมันมะกอกหอมๆ แล้วโรยเกลือเม็ดใหญ่ กินเข้าไปมันจะกรุบๆกริบๆ (จานนี้มาจากร้าน José María ที่เมืองเซโกเบียค่ะ)


Pulpo a la Gallega (ปุลโป้ อา ลา กาเยก้า) หนวดปลาหมึกยักษ์ต้มให้สุกกำลัง ดี ราดด้วยน้ำมันมะกอกนิดหน่อย รองด้วยมันฝรั่งต้มฝานบางๆ แล้วโรยด้วยผงปาปริก้า จานนี้จริงๆเป็นอาหารท้องถิ่นของแคว้น Galicia แคว้นติดทะเลทางตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน แต่ก็สามารถหากินได้ที่มาดริดเช่นกัน ความอร่อยมันจะอยู่ที่ความสดของปลาหมึก บวกกับรสชาติผงปาปริก้าที่ให้รสชาติเผ็ดเล็กๆ 


Chopitos (โชปิโตส) ปลาหมึกจิ๋วหรือ baby squid ชุบแป้งทอดบางๆ โรยเกลือ บีบมะนาวนิด จานนี้กินมัน กินเพลินมาก


Calamares (กาลามาเรส) ปลาหมึกวงชุบแป้งทอดกรอบบางๆ เวลากินบีบมะนาวลงไปนิด กินร้อนๆอร่อยมาก จัดเป็น street food อย่างหนึ่งของคนสเปน หากินได้ง่ายมากๆ 


Aceitunas (อาเซย์ตูนาส) หรือมะกอกสเปน อย่างที่ทราบกันดีว่า มะกอกสเปนมีชื่อเสียงมากๆ เพราะสเปนเป็นแหล่งเพาะปลูกมะกอกที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มะกอกที่นี่จะมีหลายแบบ หลายรสชาติ มีทั้งแบบสอดไส้ ไม่สอดไส้ ใครมาสเปนแล้วถ้าชอบ ควรซื้อมะกอกกระป๋องติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของฝาก เพราะที่นี่จะราคาถูก มีทั้งน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์และมะกอกดองแบบนี้ 


Pan tumaca หรือ Pan con tomate (ปัง กอน โตมาเต้) ขนมปังปิ้งกินกับมะเขือเทศปั่น ราดน้ำมันมะกอก โรยเกลือนิดๆ จานนี้เป็นอาหารเช้าอย่างหนึ่งของคนสเปน รสชาติดีกว่าที่คิดเอาไว้มาก เค้าจะเอามะเขือเทศมาปั่นผสมกับเครื่องปรุงไรของเค้าซักอย่าง แล้วก็ทาลงไปบนขนมปังปิ้งซึ่งราดน้ำมันมะกอกไว้บางๆแล้ว แล้วโรยเกลือนิดหน่อย 


Churros (ชูโรส) ชูโรสจิ้มช็อกโกแลตข้นอุ่นๆ เมนูนี้เคยเอามารีวิวแล้วในตอนที่ 1 แต่ขอเอามาแปะรวมไว้อีกที ร้านดังที่แนะนำให้ไปกินคือ Chocolatería San Ginés


Chocolate con nata ช็อคโกแลคร้อนวิปครีมของร้าน Valor เป็น ร้านขายช็อคโกแลตชื่อดังของมาดริด ร้านนี้ขายเครื่องดื่ม เค้ก ขนม ของหวาน และทุกอย่างที่ทำมาจากช็อคโกแลต กินช่วงหน้าหนาวจะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นมากๆ ส่วนตัวคิดว่าช็อคโกแลตร้านนี้ออกจะหวานไปหน่อย แต่ก็ยังถือว่าเป็นร้านแนะนำสำหรับคนที่มาเที่ยวมาดริด เค้าขายเครื่องดื่มชนิดอื่นๆด้วย มีไอศครีม น้ำผลไม้ปั่น สำหรับคนที่ไม่ได้โปรดปรานช็อคโกแลตด้วย


Tarta de chocolate เค้กช็อคโกแลตร้าน Valor อร่อยเข้มเต็มรสช็อคโกแลตจริงๆ แต่หวานมากทีเดียว


llaollao ไอศครีมโยเกิร์ตร้านเยาเยา ร้านนี้เป็นร้านไอศครีมโยเกิร์ตชื่อดัง มีสาขาหลายสาขาทั่วมาดริด 



Mojito (โมฆิโต้) รสชาติแบบเปรี้ยวหวาน แก้วนี้ใส่น้ำมะนาว ใบมินต์ และเหล้ารัมขมหน่อยๆ

จริงๆอาหารสเปนที่น่ามาลองชิมยังมีอีกนะ อย่างเช่น Tortilla หรือ Spanish Omelet ไข่ เจียวสเปนที่จะมีลักษณะหนาๆใส่ไส้มันฝรั่ง // Cocido คล้ายซุปใส่เนื้อหมู เครื่องใน ถั่ว // Empanada, Empanadilla พายไส้ต่างๆ // Mariscos อาหารทะเลสไตล์สเปนๆ โดยรวมเท่าที่เคยกินมา อาหารสเปปนจะเน้นย่าง เน้นอบ ใช้น้ำมันมะกอกเป็นส่วนประกอบในเกือบทุกเมนู แล้วโรยเกลือ หรือบีบมะนาว ว่ากันว่าเมืองที่กินดีที่สุดในสเปน คือ เมือง San Sebastián เมืองชายทะเลทางเหนือของสเปน ซึ่งติ๊ดตี่เคยไปมาแล้ว ก็ต้องบอกว่าจริง เมืองนี้อาหารอร่อย โดยเฉพาะ Pintxos หน้าต่างๆ 




ต้นอัลมอนด์ออกดอกหน้าสถานีรถไฟใต้ดิน Ciudad Universitaria

สำหรับร้านอาหารอื่นๆในมาดริดที่ติ๊ดตี่ชอบ เผื่อใครไม่อยากกินอาหารสเปน หรือกินมาหลายวันจนเบื่อแล้ว ถ้าเป็นอาหารอิตาเลียนราคาไม่แพงมาก ก็มีร้าน Ginos // La Nicolleta ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อร่อยราคาไม่แพง(สำหรับที่นี่) ก็ทีร้าน Don Zoko // Sushi Shop // Hanakura ร้านอาหารไทยที่มาดริด มีทั้งแบบไทยจริงไทยปลอม คือ บางร้านเป็นคนจีนเปิด คนฟิลิปปินส์เปิดบ้าง แต่ร้านไทยจริงๆก็มีร้าน Pui Thai Tapas // Thai Orchid // Krachai // Thaidy ก็ลองไปเลือกๆชิมๆกินๆดูนะคะ หวังว่า  การรีวิวในตอนนี้จะช่วยเพิ่มทางเลือก และช่วยคุณในการวางแผนเที่ยวมาดริดค่ะ :)



ลานสกีบริเวณ Navacerrada นอกมาดริด ในฤดูหนาว 


ดงดอกอัลมอนด์บริเวณย่าน Barrio del Pilar ในฤดูใบไม้ผลิ 

*หมายเหตุ* Blog นี้จะมีเนื้อหาที่อัพเดทขึ้นจากที่ลงใน www.khuntittee.exteen.com นะคะ แต่คนเขียนยังเป็นคนเดิมค่ะ :)

Sunday, December 8, 2013

Madrid Travel's Route (ตอนที่ 1): วันเดียว(ก็)เที่ยวมาดริด(ได้)!


ในช่วง 2-3 ปีมานี้ อยู่ๆ สเปนก็กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่บูมขึ้นมาอย่างมาก (วัดจากความรู้สึกส่วนตัวที่เห็นนักท่องเที่ยวไทยหนาตามากขึ้นทั้งในมาดริดและเมืองท่องเที่ยวอื่นๆของสเปน) สเปนกลายเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่เริ่มแสวงหาความแปลก แตกต่าง และ "รสชาติ" ใหม่ๆของการท่องเที่ยวที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การไปฝรั่งเศส สวิส อิตาลี เยอรมัน ซึ่งเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวในยุโรปของนักท่องเที่ยวชาวไทยมานมนาม มาดริด เมืองหลวงของสเปนก็น่าจะเป็นจุดหมายแรกๆที่ทุกคนต้องมาแวะ มาเที่ยว เพราะเมืองนี้เปรียบเสมือนประตูสู่ดินแดนกระทิงดุแห่งนี้

ในฐานะผู้มีประสบการณ์ตรงที่อยู่มาดริดมาซักพักใหญ่ๆแล้วและมีโอกาสพาคณะคนไทยไปเที่ยวหลายครั้ง ก็เลยอยากจะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในมาดริด พร้อมกับแนะนำเส้นทางการเดินเที่ยวเอง ดูเอง ชิมเอง กินเอง ได้ภายใน 1 วัน ROUTE นี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาอยู่มาดริดน้อย หรือมีเวลาแค่วันเดียวเต็มๆ และต้องการไปดูแค่จุดที่เป็นไฮไลท์หรือ LANDMARK เด่นๆเท่านั้น แต่ถ้าพอจะมีเวลามากกว่านี้ แนะนำว่าให้ใช้เวลาท่องเที่ยวมาดริดสัก 2 วันจะกำลังพอดีๆ มีเวลาเดินแบบไม่ต้องรีบเร่งมาก มีเวลาชอปปิ้ง(เอาใจคุณสาวๆ) ที่นี่เสื้อผ้าเครือ INDITEX ถือว่าเป็นผู้ครองตลาดเสื้อผ้าแบบ HIGH STREET หรือ FAST FASHION ที่ผลิตเสื้อตามเทรนด์แฟชั่น ราคาไม่แพง ทุกคนเป็นเจ้าของได้ง่าย อย่างแบรนด์ ZARA, PULL & BEAR, BERSHKA, STRADIVARIUS, MASSIMO DUTTI หรือจะเป็นของเครืออื่นอย่าง MANGO, MANGO H.E. ถือว่าเป็นสวรรค์ของนักชอปเลยทีเดียว (ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องชอปปิ้ง คนไทยไม่แพ้ใดในโลกอยู่แล้ว...ฮาาา)

พักเรื่องชอปปิ้งไว้ก่อน มาพูดเรื่องเที่ยวต่อดีกว่าค่ะ เดี่ยวยาว (ฮาา)

...ก็ถ้ามีเวลามากขึ้น ก็จะทำให้มีเวลานั่งทอดอารมณ์ดูหนุ่มสาวแดนกระทิงดุ ที่จะออกมาเดินโชว์ตัวกันให้ขวักไขว่ในช่วงเย็นๆจนเต็มพลาซ่าหรือจตุรัสหลักของเมือง มีเวลาสำรวจร้านรวงของฝาก SOUVENIR และมีเวลาเดินชิมอาหารสเปนตามร้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น TAPAS, PINTXOS, JAMON (แฮมดิบแบบสเปน) ซึ่งจะขอยกยอดไปเขียนเรื่องอาหาร ขนมและเมนูเด็ดๆที่ต้องไปชิม ไปกิน ไปลองในตอนที่ 2 ของ MADRID TRAVEL'S ROUTE พร้อมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆนอกเหนือจากไฮไลท์หลักๆที่แนะนำไว้ในตอนนี้ด้วย!

สำหรับ ROUTE ท่องเที่ยวมาดริดใน 1 วัน จะเริ่มจาก Plaza de España > Palacio Real > Mercado de San Miguel > Plaza Mayor > Puerta del Sol > Gran Vía > Fuente de Cibeles > Museo del Prado/Puerta de Alcalá > แล้วไปจบที่ Parque del Buen Retiro ค่ะ

ตามแผนที่นี้คือ บริเวณที่ X ด้วยสีแดงค่ะ


ถ้าจะเที่ยวให้ได้ครบหมดตามที่แพลนไว้ใน 1 วันก็ต้องเริ่มออกเที่ยวกันเช้าหน่อยนะคะ เริ่มออกสตาร์ทกันตั้งแต่ประมาณ 8-9 โมงเช้าที่ Plaza de España (ปลาซ่า เด เอสปันย่า) สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ริมถนน Gran Vía ซึ่งเป็นถนนสายที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของมาดริด ถือว่าเป็น landmark ที่สำคัญในแง่ที่สื่อถึงคุณค่าและความสำคัญของวรรณกรรมชั้นเอกของสเปนและของโลก เรื่อง El ingenioso hidalgo don Quijote de la Mancha หรือชื่อในภาษาไทย คือ ดอน กิโฆเต้ ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน โดยมีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อยกย่อง Miguel de Cervantes ผู้แต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆมากที่สุดในโลกรองจากคัมภีร์ไบเบิล จากรูปจะเห็นว่า มีรูปปั้นของตัวละครในเรื่อง คือ ดอน กิโฆเต้ (Don Quijote) พระเอกของเรื่อง กับ ซานโช่ (Sancho) คนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ที่ติดตามดอน กิโฆเต้ออกไปผจญภัย ด้านหลังคือรูปปั้นของเซรบันเตส ผู้แต่งเรื่องนี้ บริเวณนี้จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวตลอดทั้งวัน ใครมามาดริดถ้าไม่ได้มาถ่ายรูปที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึงนะคะ 


ต่อจากตรงนี้ เราสามารถเดินไปถึง Palacio Real หรือพระราชวังหลวงได้เลย เพราะอยู่ไม่ไกลกันมาก โดยเดินออกมาทางด้านหลังของ Plaza จะเจอถนนที่ตัดเชื่อมไปถึงตัววังเลย คือ ถนน Belem สำหรับ Palacio Real (ปาลาซิโอ เรอัล) เป็นพระราชวังหลวงของสเปน สร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 บนโครงสร้างป้อมปราสาทเดิมที่เก่าแก่ ผุพัง ซึ่งสร้างไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยกษัตริย์สเปนที่ทำให้พระราชวังแห่งนี้เป็นรูปเป็นร่างและสวยงามขึ้น คือ กษัตริย์ Felipe V (เฟลิปเป้ ที่ 5) ซึ่งเป็นกษัตริย์สเปนที่มาจากราชวงศ์บูร์บงของฝรั่งเศส มีศักดิ์เป็นหลานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส พระราชวังแห่งนี้จึงได้รับอิทธิพลการตกแต่งภายใน ขนบการวางผังตำแหน่งห้องต่างๆมาจากราชสำนักฝรั่งเศสพอสมควร พระราชวังแห่งนี้มีพื้นที่ใช้สอยมากเป็นอันดับ 2 ในบรรดาพระราชวังในยุโรปตะวันตก มีห้องหับมากถึง 3,418 ห้อง ใหญ่กว่าพระราชวังแวร์ซายน์ที่ฝรั่งเศสอีกนะคะ!!! แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้แต่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สำหรับการเข้าชมโดยมีไกด์ของวังนำชมจะสามารถเข้าชมพื้นที่หวงห้ามได้ พื้นที่ดังกล่าว คือ ส่วนที่เปิดใช้ได้เฉพาะราชวงศ์หรือเปิดใช้เฉพาะเมื่อมีพิธีการเท่านั้น ปัจจุบันราชวงศ์สเปนไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว ที่นี่ใช้สำหรับการประกอบพิธีต่างๆ การต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้น ข้างในพระราชวังห้ามถ่ายรูป เพราะฉะนั้นจะต้องเสียค่าเข้าชมไปดูด้วยตาตัวเอง เท่าที่เคยไปเที่ยวพระราชวังอื่นๆในยุโรปมาแล้วหลายที่ พูดได้เลยว่า ของที่นี่ไม่แพ้ที่ไหนๆเลย ถ้าพูดถึงสวยงามของการตกแต่งภายใน ความวิจิตร ประณีต เฟอร์นิเจอร์ แชนเดอเลีย การตกแต่งผนัง แม้ว่าตัวอาคารภายนอกจะดูเรียบๆ ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ข้างในสวยเลอค่ามาก นอกจากนี้ยังมีอาคารสำหรับจัดแสดงชุดเกราะของกษัตริย์ในยุคต่างๆ รวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหาร แบบที่เราเห็นในหนังแนวอัศวินเปี๊ยบ! โดยส่วนตัวชอบห้องนี้มากๆ เข้าไปครั้งแรกนี่ร้องว้าวทีเดียว เสียดายที่ถ่ายรูปมาให้ดูไม่ได้ :)


เมื่อออกมาจากพระราชวังก็จะพบกับ Catedral de Santa María la Real de la Almudena (กาเตดรัล เด ซานตา มาเรีย ลา เรอัล เด ลา อัลมูเดนา) หรือขอเรียกสั้นๆว่า มหาวิหารอัลมูเดนา ซึ่งเป็นมหาวิหารประจำราชสำนัก ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวังเลย คือ ขนบการสร้างวังในสมัยก่อนของสเปนก็เหมือนกับของไทยเรา คือ สร้างวังแล้วก็ต้องสร้างวัดใกล้ๆกัน ณ มหาวิหารแห่งนี้เป็นที่ประกอบพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายเฟลิปเป้ มกุฎราชกุมารของสเปน ถ้าพอมีเวลาก็แวะเข้าไปชมได้ จะมีตู้รับบริจาคให้หยอดเหรียญค่าเข้า 1 ยูโรตามอัธยาศัย


เสร็จจากบริเวณนี้ เราเดินเลี้ยวเข้าถนน Mayor เพื่อมุ่งหน้าไปยัง Mercado de San Miguel หรือตลาดซานมิเกล ซึ่งเป็นตลาดชื่อดังที่ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวมากๆ เพราะเป็นแหล่งรวมของดีของคัดมาแล้วว่าถ้าคุณมามาดริด คุณต้องมาชิม มากิน มาเห็นของดีอะไรของเค้าบ้าง คือ คัดมาเอาใจนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ข้างในมีทั้งร้านขายอาหารหลากหลายชนิดให้เลือกสรร ทั้งอาหารทะเลสดๆ หอยแมงภู่ตัวใหญ่ยักษ์จากมหาสมุทรแอตแลนติก tapas หรืออาหารจานเล็กๆที่คนสเปนนิยมกินเป็นกับแกล้มคู่กับเบียร์หรือไวน์ มีแผงขายผลไม้ ขายอาหารทะเลสดๆ ในบริเวณตลาดยังมีบาร์เล็กๆให้นักท่องเที่ยวมาแวะชิมกินดื่มได้ แต่ราคาข้าวของที่นี่จะค่อนข้างสูงกว่าตลาด(ของจริง)ที่อื่น โดยส่วนตัวคิดว่า แค่มาเดินถ่ายรูปก็คุ้มแล้ว แต่ถ้ามาเดินตออนหิวๆ คงได้ชิมกันพุงกางแน่ๆ



ในตลาดเราจะเจอร้านขาย Jamón (ฆามอง) ซึ่งเป็นของดีขึ้นชื่อมากๆของสเปน คนไทยอาจจะคุ้นกับชื่อ Parma Ham (พาร์มาแฮม)ของอิตาลีมากกว่า ซึ่งจริงๆแล้วมันก็จัดอยู่ในแฮมประเภทเดียวกัน คือ เป็นแฮมดิบ ทำมาจากขาหมูดิบหมักเกลือไว้เป็นเวลานาน ยิ่งนาน ยิ่งอร่อย ยิ่งแพง เวลาทาน จะกินดิบๆ โดยแล่ออกมาเป็นแผ่นบางๆ กินแกล้มกับเบียร์เย็นๆ ฉ่ำๆ Jamón ที่ขายกันอยู่ในสเปนมีหลากหลายชนิด แตกต่างกันไปตามแหล่งที่มา สายพันธุ์ของหมู และระยะเวลาการหมัก แต่จำแนกกว้างๆได้เป็น 2 แบบที่คนสเปนนิยมรับประทาน คือ Jamón Serrano (ฆามองเซร์ราโน) กับ Jamón Ibérico (ฆามองอิเบริโก) Jamón Serrano จะหาทานได้ง่าย ราคาถูก เนื้อสัมผัสจะแห้งๆ เนื้อสีออกชมพู ส่วน Jamón Ibérico ใช้หมูสายพันธุ์ Ibérico ซึ่งเป็นหมูดำมาทำ รสชาติออกเค็มกว่า เนื้อสัมผัสมันกว่า เนื้อสีน้ำตาลคล้ำกว่าฆามองชนิดอื่นๆ โดยส่วนตัวชอบกินมาก แต่สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ไม่คุ้นอาจจะไม่กล้ากิน เพราะเห็นว่ามันดิบ แต่ลองชิมซักนิดค่ะ อาจจะติดใจ! :)


ถั่วเป็นวัตถุดิบที่คนสเปนใช้ในการประกอบอาหารหลากหลายชนิด ส่วนใหญ่จะเอามาทำเป็นซุปถั่ว แต่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบค่ะ รู้สึกมันแหยะๆ (ฮา)


คนสเปนกินไวน์กันเก่งมาก ไวน์สเปนดีดีราคาก็ไม่แพงเลย ในตลาดมีร้านขายไวน์เป็นแก้วๆ ใครอยากลองชิมก็ชิมได้ สนนราคาแก้วละ 2.50 ยูโรเท่านั้น ใครมาเที่ยวสเปนอย่าลืมซื้อติดมือกลับไปเป็นของฝากนะคะ ส่วนตัวแนะนำยี่ห้อ Faustino เบอร์ 5 ค่ะ 


ใครบ้างไม่รู้จักมะกอกสเปน สเปนเป็นผู้ส่งออกมะกอกและผลิตภัณฑ์จากมะกอกรายใหญ่ของโลกเลยทีเดียว คนสเปนใช้น้ำมันมะกอกในการปรุงอาหารจานหลัก ราดสลัดผัก ทาขนมปัง เอาไปทำเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ส่วนผลมะกอกเอามาดอง กินเป็นกับแกล้ม มีทั้งแบบมีเม็ดและเอาเม็ดออกแล้วยัดไส้ต่างๆ ที่ตลาดนี้เค้าก็มีให้ชิมกันหลายชนิดจนเลือกไม่ถูกเลยค่ะ


ออกจากตลาดซานมิเกล เดินเลี้ยวขวามานิด ก็จะเจอ Plaza Mayor (ปลาซ่า มายอร์) คำว่า mayor มีความหมายว่า "ใหญ่" จตุรัสแห่งนี้ที่ล้อมรอบด้วยอาคารทั้งสี่ด้าน ถือว่าเป็น landmark ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของมาดริด ที่นี่จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนตลอดเวลา สายๆคนสเปนจะออกมานั่งจิบกาแฟ รับประทานอาหารเช้ารอบๆจตุรัสแห่งนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยร้านกาแฟ ร้านอาหารตลอดแนว บ่าย 2-3 โมงก็จะเริ่มออกมานั่งรับแดดรับประทานอาหารกลางวัน ตกบ่ายแก่ๆหลังอาหารกลางวันก็มานั่งจิบกาแฟ(อีกรอบ) พอได้เวลาอาหารเย็น คือ ประมาณสองทุ่มไปแล้ว ก็จะมานั่งกินลมชมบรรยากาศยามค่ำคืนของจตุรัสแห่งนี้ ราคาอาหารมีตั้งแต่ราคากลางๆไปจนถึงราคาสูง ก็ถือว่าให้ค่าบรรยากาศเค้าค่ะ 




บรรยากาศช่วงคริสต์มาสบริเวณปลาซ่า มายอร์

จตุรัสแห่งนี้สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 16 ในสมัยนั้นที่นี่เป็นทั้งตลาดค้าขาย สถานที่จัดงานรื่นเริงของเมือง พี่ตั้งศาลพิจารณาคดี สนามสู้วัว เป็นลานเอนกประสงค์คล้ายๆสนามหลวงบ้านเรา


ผนังอาคารด้านที่สวยงามที่สุดของจตุรัสแห่งนี้


ออกจาก Plaza Mayor เดินตัดเข้าซอยฝั่งตรงข้ามไปไม่ไกลมาก อยากจะขอแนะนำให้ไปชิม churros (ชูโรส) หรือปาท่องโก๋สเปนของแท้ ที่ร้าน Chocolatería San Gines (ช็อคโกลาเตเรีย ซาน กิเนส) ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1894 ซึ่งนับว่าเป็นร้านที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงมากๆของมาดริด ที่นี่ขายชูโรสรสชาติดั้งเดิม เสิร์ฟพร้อมช็อคโกแลตเข้มข้นร้อนๆ ทานคู่กันอร่อยจริงๆค่ะ เท่าที่เคยไปชิมที่ร้านอื่นๆ ต้องบอกว่าร้านนี้ชนะเลิศค่ะ

  

ชูโรสของแท้ต้องเป็นเส้นแป้งยาวๆทอดจนเหลืองกรอบนอกนุ่มใน ไม่มีมันเยิ้ม ไม่สอดไส้ใดๆทั้งสิ้น วิธีรับประทานแบบคนสเปน คือ จิ้มชูโรสลงไปในช๊อคโกแลตข้นอุ่นๆ ทานคู่กับกาแฟร้อนหรือโกโก้ร้อน เป็นได้ทั้งอาหารเช้า อาหารว่างรอบบ่าย รอบดึก ยิ่งช่วงฤดูหนาว อากาศหนาวๆตอนกลางคืนร้านจะคนแน่นมากเป็นพิเศษ มามาดริดทั้งทีต้องมาชิมร้านนี้ อร่อยกว่าร้านอื่นจริงๆค่ะ คอนเฟิร์ม! (อวยกันซะขนาดนี้ทางร้านน่าจะจ้างเป็นพรีเซนเตอร์นะคะ)


หลังจากอิ่มท้องกันเบาๆแล้ว ก็เดินต่อไปยัง Puerta del Sol (ปูเอร์ตา เดล โซล) ศูนย์กลางการท่องเที่ยวของมาดริด ศูนย์รวมแหล่งชอปปิ้ง ร้านอาหารทั้งถูกทั้งแพงมีหมด เป็นแหล่งแสดงโชว์โดยศิลปินอิสระ ทั้งเล่นดนตรี เล่นตลก ใส่ชุดมาสคอต และเป็นแหล่งรวมมิจฉาชีพด้วย! (ฮา) เพราะจุดนี้เป็นบริเวณที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาจากทุกสารทิศแทบจะตลอด 24 ชม. เพราะตอนกลางคืน ย่านนี้ก็มีทั้งผับ ทั้งบาร์ที่เปิดกันโต้รุ่งเลยทีเดียว บริเวณกลางลานแห่งนี้มีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าการ์โลสที่ 3 (Carlos III) ตั้งอยู่ด้วย ซึ่งเป็นพระเจ้าการ์โลสที่ 3 เป็นกษัตริย์สเปนที่มีบทบาทอย่างมากในการปรับปรุงภูมิทัศน์กรุงมาดริดและการตกแต่งภายในพระราชวังหลวง



ในวันสิ้นปีหรือ 31 ธันวาคมของทุกปี บริเวณนี้จะเป็นที่จัดงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ คนจะมากระจุกกันในบริเวณนี้จนแทบหายใจไม่ออกกันเลยทีเดียว การเคาท์ดาวน์จะโดยยึดเวลาตามหอนาฬิกา (ที่เห็นอยู่หลังต้นคริสมาสต์) ที่พิเศษก็คือคนสเปนเค้ามีธรรมเนียมว่า เมื่อนาฬิกาตีครั้งแรกให้เริ่มกินองุ่นหนึ่งลูก และกินต่อไปเรื่อยๆตามจังหวะการตีของนาฬิกาจนครบ 12 ลูก ต้องกินให้ทัน! ใครมาเที่ยวมาดริดช่วงวันสิ้นปีลองเตรียมตัวฝึกซ้อมกินก่อนได้เลย :) ด้านหน้าของอาคารที่มีหอนาฬิกา (ชื่ออาคารคือ Casa Real de Correos - ปัจจุบันเป็นศาลาว่าการกรุงมาดริด) เป็นที่ตั้งของหลักกิโลเมตรที่ 0 ของสเปนด้วย  


ถนนทุกสายที่มุ่งเข้าสู่ Puerta del Sol จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ที่ออกมาเดินเล่น จับจ่ายใช้สอย ละแวกนี้ถือว่าเป็นศูนย์รวมของร้านค้าแบรนด์ดัง แบรนด์ High Street อย่าง Zara, Mango ห้างใหญ่ของสเปนอย่าง El Corte Inglés ร้าน Official Store ของ Real Madrid ร้านรองเท้า เครื่องหนัง และแบรนด์ท้องถิ่นอีกเยอะแยะยั้วเยี้ยมาก ถือว่าเป็นสวรรค์ของนักชอปชาวไทยอย่างแท้จริง! (ฮา) 


จุดเช็คอินของบริเวณ Puerta del Sol อีกแห่งหนึ่ง คือ รูปปั้นหมีกับต้นมาโดรนโย่ (El oso y el madroño) หมีและต้นมาโดรนโย่-ต้นไม้ตระกูลเบอร์รี่ชนิดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของกรุงมาดริด  


ร้านค้าต่างๆเต็มไปด้วยของที่ระลึกล่อตาลอใจล่อเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยว โดยฉพาะของที่ระลึกของทีมฟุตบอลทีมโปรด




จาก Puerta del Sol เราสามารถเดินผ่านซอกซอยที่สองข้างเรียงรายไปด้วยร้านรวงต่างๆมากมายออกมาสู่ถนน Gran Vía (แกรนเบีย) ถนนสายสำคัญของมาดริดที่มีอายุเก่าแก่กว่าร้อยปี สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของถนนสายนี้ คือ สถาปัตยกรรมอันงดงามของอาคารสองฝั่งถนน


ภาพนี้ถ่ายจาก Gourmet Experience บนชั้น 9 ของห้าง El Corte Inglés สามารถขึ้นมาชมวิวเมือง พร้อมรับประทานอาหารหรือจิบกาแฟชิลๆได้


อาคาร Metrópolis อาคารหมายเลข 1 ของถนน Gran Vía


จากแกรนเบียเดินลงมาเรื่อยๆจะเจอกับ Fuente de Cibeles หรือน้ำพุซิเบเลส Icon อีกอย่างหนึ่งของกรุงมาดริด ซิเบเลสเป็นเทพีแห่งดิน เกษตรกรรม และความอุดมสมบูรณ์ ใครเป็นสาวกทีมฟุตบอลราชันชุดขาวเรอัลมาดริดจะต้องคุ้นหน้าคุ้นตาเทพีองค์นี้เป็นอย่างดี เพราะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรอัลมาดริดได้แชมป์ลาลีก้าสเปน ทั้งทีมจะต้องยกโขยงมาชูถ้วยแชมป์และเฉลิมฉลองกันที่บริเวณวงเวียนน้ำพุแห่งนี้


Fuente de Cibeles ยามค่ำคืน


บริเวณนี้เป็นวงเวียนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อถนนสายหลักๆของมาดริด อาคารที่สำคัญในบริเวณนี้ก็มีทั้งอาคารธนาคารกลางของสเปน (Banco de España) และอาคาร Palacio de Cibeles ซึ่งปัจจุบันสามารถขึ้นไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารบริเวณระเบียงชั้นบนของอาคารแห่งนี้เพื่อชมวิวแบบพาโนรามาของถนน Gran Vía และบริเวณโดยรอบได้ แนะนำให้มาช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน บรรยากาศจะสวยมากๆค่ะ


จากจุดนี้ มีสอง option ให้เลือกค่ะ option แรก คือ เดินไปต่อยัง Museo del Prado (พิพิธภัณฑ์ปราโด้) พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสเปน เป็นที่รวบรวมผลงานของจิตรกรชื่อดังทั้งของสเปนและชาติอื่นๆ เปรียบได้กับพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ที่ปารีส ถ้าคุณเป็นคนชอบศิลปะ หรือคุ้นหูชื่อจิตรกรดังอย่าง Goya, Picasso, Rubens หรือ Velazquez ไม่ควรพลาดที่นี่ด้วยประการทั้งปวง แต่ถ้าคุณไม่ได้ถูกจริตกับศิลปะเท่าไหร่ ประมาณว่า ดูยังไงก็ไม่อิน ไม่เก็ท หรือดูแล้วจะหลับ (ฮา) ขอแนะขำให้คุณข้ามไป option สองได้เลยค่ะ! คือ เดินต่อไปยังสวนสาธารณะ Parque del Buen Retiro หรือเรียกสั้นๆว่าสวนเรติโร่ ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่มีความสวยงามมาก ในอดีตเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของราชวงศ์ และขุนนาง ถ้าคุณมีเวลามากพอสำหรับการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ซักหนึ่งชม. บวกกับเดินพักผ่อนหย่อนใจที่เรติโร่อีกหนึ่งชม. คุณก็สามารถไปทั้งคู่ได้นะคะ เพราะว่าทั้งสองที่นี้อยู่ใกล้กันค่ะ


ภาพ Las Meninas โดย Velazquez 

บริเวณทางเข้าสวนเรติโร่ฝั่งที่ติดกับถนน Alcalá จะมี Puerta de Alcalá หรือประตูอัลกาลาตั้งอยู่เป็นวงเวียน ในสมัยก่อน คือ ประตูเมืองของมาดริดฝั่งที่ออกไปทางเมืองอัลกาลา เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้มาดริด




สวนเรติโร่มีพื้นที่กว้างใหญ่มากพอสมควร ภายในแบ่งเป็นโซนต่างๆหลายโซน มีบริเวณสระน้ำมีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าอัลฟอนโซ่ที่ 12 (Alfonso XII) ในหน้าร้อนคนนิยมไปพายเรือเล่นกันเยอะ มีบริเวณสวนกุหลาบ สวนนกยูง แต่ที่โดดเด่นและเป็นไฮไลท์ของที่นี่ คือ Palacio de Cristal หรือ Crystal Palace ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1887 เป็นอาคารที่มีส่วนประกอบเป็นกระจกเกือบทั้งหลัง ภายในเป็นที่จัดแสดงนิทรรศการต่างๆ ด้านหน้าอาคารมีสระน้ำเล็กๆ บรรยากาศที่นี่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยมากๆ เหมาะกับการมานั่งเล่น นอนเล่น ปิคนิคอย่างยิ่ง



Palacio de Cristal


สำหรับเส้นทางท่องเที่ยวมาดริดแบบเดินเอง เที่ยวเองภายในหนึ่งวันก็จบลงที่นี่ค่ะ สำหรับสถานที่ที่นำเสนอไปในรีวิวนี้ ต้องขอออกตัวก่อนว่า แต่ละที่ที่เลือกมา เป็นไฮไลท์หลักๆของมาดริดตามความเห็นส่วนตัวนะคะ บางคนอาจจะมีจุดมุ่งหมายไปทัวร์สนามฟุตบอลเรอัลมาดริด เน้นชอปปิ้งมากกว่า หรือชอบขึ้นรถนำเที่ยวแบบ Hop On - Hop Off แบบส่งลงตามจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคนค่ะ อันนี้ก็ถือว่าเป็นการนำเสนอไอเดียสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ที่ไม่ควรพลาด เหมาะสำหรับคนที่มีเวลามาเที่ยวมาดริดแค่หนึ่งวันเต็มๆ ยังไงก็ลองเอาไปปรับ ไปเสริม ไปแต่งให้เข้ากับแพลนการท่องเที่ยวของคุณเองดูนะคะ สำหรับในตอนที่ 2 จะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในมาดริด และแนะนำร้านอาหารอร่อย สิ่งที่คุณต้องมากิน มาชิม เมื่อคุณมาเที่ยวมาดริด เพราะฉะนั้นอย่าลืมติดตามกันต่อไปนะคะ :) 


มาดริดยามค่ำคืน มุมขวาบน คือ อาคาร Palacio de Cibeles 
ภาพนี้เพื่อนเป็นคนถ่ายจากจุดชมวิวบนอาคาร Bellas Artes ค่ะ


*หมายเหตุ* Blog นี้จะมีเนื้อหาที่อัพเดทขึ้นจากที่ลงใน www.exteen.com นะคะ แต่คนเขียนยังเป็นคนเดียว คนเดิมค่ะ :)