Sunday, October 19, 2014

ลัดเลาะรอบรั้วสเปน: Albarracín (อัลบาร์ราซิน), one of the most beautiful medieval village in Spain!





ว่ากันว่า Albarracín ได้รับการขนานนามให้เป็น หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของสเปน ซึ่งเมื่อได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่า ของเค้าดีสมคำร่ำลือจริงๆ!”  
อัลบาร์ราซินเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัด Teruel (เตรูเอล) แคว้น Aragón (อารากอน) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสเปน ตัวเมืองอัลบาร์ราซินได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น National Monument ของประเทศสเปนตั้งแต่ปี 1961 และกำลังอยู่ในขั้นตอนการเสนอชื่อเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก การเดินทางมาอัลบาร์ราซินในทริปนี้ เรา (ติ๊ดตี่กับเพื่อนสาวผู้ร่วมทริป) เริ่มออกสตาร์ทจากมาดริด โดยนั่งรถบัสของบริษัท Samar มาลงที่เตรูเอล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม.ครึ่ง (8.30 - 13.00 น.) จากนั้น ต้องนั่งรถบัส (ซึ่งช่วงที่ไป) มีแค่รอบเดียวต่อวันเท่านั้นที่ออกจากเตรูเอล (14.40 น.)
 




Tourist Information (ที่แรก)ตั้งอยู่ริมถนนสายหลักของเมือง


 
Tourist Information (จุดที่สอง) จุดนี้อยู่ในตัวเมืองเลย และเป็นจุด meeting point ของเรากับไกด์
 

เรามาถึงที่อัลบาร์ราซินเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ ซึ่งก็ถือว่าประจวบเหมาะ เพราะเราจองทัวร์เมือง+โบสถ์ประจำเมืองแบบมีไกด์รอบเวลาสี่โมงเย็นไว้ การจองทัวร์นี้ถือว่าไม่ได้เป็นไฟต์บังคับ แต่ไปกับทัวร์นี้ นอกจากจะมีไกด์คอยอธิบายประวัติความเป็นมาของเมืองและสถานที่สำคัญๆแล้ว ยังจะได้เข้าชมส่วนที่ไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าได้อีกด้วย (เช่นตัวปราสาท) ทัวร์แบบ official ที่ว่า คือทัวร์ของ Fundación Santa María de Albarracín ซึ่งควรจองล่วงหน้าซักนิด สนนราคาก็ไม่แพงเลย 2.5 ยูโรสำหรับ City Tour+Catedral และ 3 ยูโรสำหรับทัวร์ปราสาท (Castillo)

ชื่อเมือง Albarracín นั้นมาจากชื่อชนเผ่ามุสลิมกลุ่มหนึ่งชื่อ Ibn-Racin ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานหลังจากการเข้ามารุกรานคาบสมุทรไอบีเรียของมุสลิมราชวงศ์อุมัยยะห์ (Califato Omeya) อัลบาร์ราซินเคยมีสถานะเป็น Taifa มีกษัตริย์ปกครองตนเองนานกว่า 94 ปี จึงถูกควบรวมเข้ากับอาณาจักรบาเลนเซีย (Reino de Valencia)” 





ความว้าวววแรกที่มาถึงอัลบาร์ราซินคือ แนวกำแพงโบราณที่ทอดยาวจากสันเขาลงมายังเมืองอย่างกะกำแพงเมืองจีน! คือของจริงมันตระการตามาก คุณพระ! กำแพงนี้สร้างขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดยเป็นส่วนต่อเติมจากแนวกำแพงเมืองเดิมที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ในคริสต์ศตวรรษที่ 10 เนื่องจากการขยายตัวของเมืองในสมัยนั้น จุดแรกที่เราไปเยี่ยมชมคือตัวโบสถ์ คุณไกด์ท้องถิ่นคิ้วเข้มหน้าแขกของเราก็อธิบายอย่างละเอียดลออ แต่อย่าถามว่าจำอะไรได้บ้างมั้ย ขอตอบเลยว่า จำได้น้อยมาก ฮ่าๆๆๆ ขณะนี้โบถส์กำลังปรับปรุงซ่อมแซมภายในอยู่ โดยปกติจึงไม่เปิดให้เข้าชม แต่เราเป็นกรณียกเว้น (เพราะซื้อทัวร์มาแล้วนี่นะ ฮ่าๆๆๆ)

 




กุญแจประตูโบถส์ เค้าใช้ไซส์นี้ไขกันจริงๆนะ เก๋มากกก
 
จากนั้นคุณไกด์ก็พาไปชมเมือง ลัดเลาะไปตามซอกซอยที่ทั้งคดเคี้ยว เป็นเนินขึ้นลง ซึ่งนับว่าเป็นเสน่ห์อย่างนึงของเมืองนี้เลยทีเดียว บ้านเรือนที่นี่มีเอกลักษณ์คือผนังจะทำจากปูนปลาสเตอร์สีแดง (yeso rojo) ที่พบได้มากในแถบหุบเขาบริเวณนี้ บ้านไหนไฮโซมีชาติตระกูลหน่อย ตรงบานประตูจะมีที่เคาะประตูทำเป็นรูปจิ้งเหลน เท่าที่เดินผ่านก็เห็นอยู่สามสี่บ้าน ดีไซน์จิ้งเหลนไม่ซ้ำกันซักบ้าน เก๋ไปอีกแบบ 




 

บ้านที่ถูกใจติ๊ดตี่ที่สุด คือ Casa de la Julianeta เป็นบ้านที่ตั้งอยู่ตรงทางแยกสองทางต่างระดับกันลดหลั่นกัน เห็นเล็กๆแบบนี้ คุณไกด์บอกว่าข้างในมีถึงสามชั้น หน้าต่างบานที่เราเห็นนั้น เป็นหน้าต่างห้องน้ำ ถ้าเข้าตำราไทย คงบอกว่า “มีส้วมอยู่หน้าบ้านแบบนี้ เหมือนมีลูกสาว” เอ๊ะ! มันไม่ใช่นิ่ ต้อง “มีลูกสาว เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน”! ฮ่าๆๆๆ  นอกเรื่องไปไกล กลับเข้ามาใหม่ //
 


 
Casa de la Julianeta



จากนั้น เรามีนัดไปทัวร์ตัวปราสาทตอนหกโมงเย็น ปราสาทที่ว่านี้ ตั้งอยู่ ณ จุดที่สูงที่สุดของเมืองและตั้งอยู่ตรงสุดปลายเนินเขา จากกำแพงปราสาทสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้สวยที่สุดมุมหนึ่ง การเข้าชมต้องซื้อตั๋วเข้าชมแบบมีไกด์เท่านั้น ภายในเหลือแต่ซากและร่องรอยให้พอสันนิษฐานได้ว่า ตรงไหนคืออะไร มีทางลับออกจากปราสาทตรงไหน
 







เสร็จจากทัวร์ปราสาท เป้าหมายของเราคือการเดินขึ้นไปอีกเขาหนึ่งเพื่อชมวิวเมืองแบบพาโนรามา ซึ่งจุดชมวิวที่ว่านี้อยู่นอกแผนที่ท่องเที่ยวของเมืองด้วยซ้ำ แต่เราก็ไปสืบเสาะมาจนได้ว่ามันมี และจากมุมนี้จะสามารถมองเห็นเมืองได้สวยที่สุด จากเมืองเดินขึ้นเขาไปตามเส้นทางออกมาประมาณ 15-20 นาที ถ้าจะมาชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ให้พกไฟฉายมาด้วย เพราะระหว่างทางไม่มีไฟฟ้านะจ๊ะ เราจะมาถึง Ermita de la Virgen del Carmen ช่วงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว บรรยากาศดีและวิวสวยมากกก จนรู้สึกดีใจที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง





ขณะที่นั่งอยู่ริมผาบนจุดชมวิว ก็คิดว่า เมืองแบบนี้มัน ไม่เหมือนที่อื่นในยุโรปนะ มันมีแต่ในสเปนจริงๆอ่ะ ” 




เรานั่งสูดอากาศ (หนาว) จนชุ่มปอด (และตัวเย็นยะเยือก) ดูพระจันทร์(เกือบ)เต็มดวงที่สวยที่สุด (เท่าที่ตัวเองเคยนั่งดูมาที่สเปน) และเก็บภาพเมืองแบบพาโนรามาจนย่ำค่ำแล้วจึงเดินกลับมาที่พักในเมือง จบทริปครึ่งวันในเมืองลับแลแห่งนี้!

โดยสรุปแล้ว อัลบาร์ราซินเป็นเมืองที่สวยแปลกตาอีกเมืองในสเปน ในบรรดาเมืองแปลกในธีมเดียวกันที่ส่วนตัวเคยไปมา อย่าง Ronda กับ Cuenca (เพราะมีลักษณะเป็นบ้านแขวน – casas colgadas – และสร้างบนเขาคล้ายกัน) ขอยกให้อัลบาร์ราซินขึ้นหิ้งคะแนนนำที่หนึ่งไปเลย! งานนี้ต้องขอบคุณระบบการจัดการผังเมืองและการบูรณปฏิสัง ขรณ์อาคารบ้านเรือนที่ดีมาก ที่ทำให้เมืองคงความสวยงาม บ้านเรือนมีระเบียบ ไม่สะเปะสะปะ ไม่หลุดธีมเมืองยุคกลาง บวกกับงานนี้ได้คุณไกด์คอยอธิบายเรื่องราวความเป็นมา ทำให้ไม่ได้ได้ดูแค่ตา แต่ได้เนื้อหามาด้วย (แม้จะจำไม่ค่อยได้ก็ตาม ฮ่าๆๆ) //


BUDGET: สำหรับการเดินทางโดยรถบัส ต้องตั้งต้นจากเมืองเตรูเอลก่อน โดยรถขามาอัลบาร์ราซินมีรอบบ่ายรอบเดียวเท่านั้น ส่วนขากลับมีตอน 8.55 ของวันรุ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องค้างที่เมืองหนึ่งคืน ค่าโดยสารประมาณ 3.80 ยูโรต่อเที่ยว เป็นของบริษัท Navarro / ส่วนค่าที่พักที่ Meson del Gallo ที่เราไปพักกันนั้น ตกคืนละ 35 ยูโรต่อห้อง เป็นห้องแบบเตียง Double ห้องน่ารักมาก และสภาพใหม่พอสมควร มีครัวซึ่งสามารถใช้อุ่นอาหารได้ ในกรณีที่พกอาหารมาเอง โดยจ่ายค่าใช้ครัวเพิ่มคนละ 1 ยูโรค่ะ

MUST SEE: วิวเมืองแบบพาโนรามาจาก Ermita de la Virgen del Carmen